จมูกเป็นอวัยวะที่อยู่กึ่งกลางของใบหน้า ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนมักจะให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆของใบหน้า แต่ในบางครั้งการให้ความสำคัญก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง บางครั้งคนเราก็มีความคาดหวังในการทำจมูกไม่เหมือนกัน บางคนมีความต้องการจมูกที่โด่งมากๆ ซึ่งบางครั้งก็นำมาสู่ผลเสียอีกเช่นกัน ปลายจมูกบาง จากการที่โดนยืดผิวหนังมากเกินไป เป็นผลเสียอันดับต้นๆที่เรามักพูดถึงกัน
และเช่นเดียวกันก่อนที่เราจะมารู้สาเหตุและการแก้ไขของปัญหาดังกล่าวนี้ เรามาเริ่มต้นทบทวนโครงสร้างของจมูกกันก่อน
อย่าลืมรับชมภาพเคสรีวิวได้ดีที่ >>> รวมภาพรีวิวเคสปกป้องคลินิก
โครงสร้างของจมูก
จมูกของคนเรานั้นอาศัยโครงสร้างของกระดูกแข็ง (bone) และกระดูกอ่อน (cartilage) เพื่อประกอบเป็นจมูกขึ้นมา โดยทำให้จมูกเราแบ่งออกแบ่งส่วนที่ขยับได้และขยับไม่ได้ตามลำดับ โครงสร้างทั้งหมดนี้ถูกปกคลุมด้วย เยื่อหุ้มกระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน และผิวหนังตามลำดับ
แต่ทีนี้ จมูกของเรานั้นในแต่ละส่วนมีความหนาและบางของส่วนที่ปกคลุม ไม่เท่ากัน ส่วนที่บางที่สุดคือส่วนที่ลูกศรชี้ตามรูปด้านบน ผมขอเรียกว่าปลายจมูกส่วนล่างแล้วกันนะครับ
ซึ่งส่วนนี้มักจะถูกทำให้ถูกยืดให้ตึง จากในกรณีคนที่มาด้วยปัญหา จมูกสั้น และเหิน และต้องการใส่ซิลิโคนให้จมูกยาวขึ้น
แต่ทีนี้ส่วนปลายที่ตามลูกศรชึ้ในรูปด้านบน ที่เป็นส่วนปลายจมูกที่อยู่สูงขึ้นมาหน่อย ซึ่งจะพบในคนที่ทำจมูกเพื่อให้ปลายพุ่งไปด้านหน้า แต่ไม่ได้ให้ยาวขึ้น จะบางได้มั้ย แล้วจะมีปัญหาเหมือนปลายจมูกส่วนล่าง ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นมั้ย จริงๆแล้วก็บางได้เช่นกันครับ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ส่วนที่มักจะสร้างปัญหามากกว่า มักจะเป็นปลายจมูกส่วนล่าง
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนที่ปลายจมูกทำให้ปลายบางได้อย่างไร
จะเห็นว่าถ้าจมูกเราสั้นและเหินถ้าเราใส่ซิลิโคนลงไปเฉยๆ จะทำให้ปลายจมูกบริเวณดังกล่าว ตึงและบางได้ เพราะฉะนั้นการใช้ซิลิโคนอย่างเดียวจึงไม่ใช่วิธีเหมาะกับการทำให้จมูกที่สั้นยาวได้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นวิธีต้องห้าม สำหรับการทำให้จมูกสั้น ยาวขึ้น
ทีนี้ถ้าจมูกสั้นและเหินควรทำอย่างไร สามารถอ่านต่อได้ที่ => จมูกสั้น เนื้อน้อย ทำจมูกอย่างไร
ปลายบางเป็นอย่างไร
บางครั้งเราไม่รู้ตัวเองด้วยซำ้ว่าปลายจมูกเราบางใสหรือไม่
ผมแนะนำวิธีที่ง่ายที่สุดเลยคือการใส่ไฟส่องที่ปลายจมูก ถ้าปลายบาง เราจะเห็นเลยว่าบริเวณดังกล่าวจะใส
แต่ถ้ามันบางมากและรุนแรงมากขึ้น เราจะเห็นว่า ปลายบางจนเห็นเป็นขอบของหัวซิลิโคนได้ ซึ่งก็เป็นตัวบ่งบอกว่าควรจะต้องได้รับการแก้ไขแล้ว
แก้ไขได้อย่างไร
ทีนี้การแก้ไขจะเป็นอย่างไร ลองมาอ่านกันต่อเลยครับ
สิ่งเราต้อง keep in mind ไว้ก่อนเลยคือ ผิวหนังที่ถูกยืดจนบางแล้ว มันจะบางแล้ว บางเลย ยากที่จะทำให้กลับมายืดหยุ่นได้เช่นเดิม เหมือนคนอ้วน ที่ลดน้ำหนักลงมาอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่ถูกยืดแล้ว จะไม่กลับมาเป็นแบบเดิมได้ จำเป็นต้องตัดผิวหนังส่วนเกินออก แต่คงไม่ได้ใช้วิธีตัดผิวหนังส่วนเกินออกกับปลายจมูกเป็นแน่
แต่ทีนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือการปกป้องผิวหนังบริเวณด้งกล่าวไม่ให้ถูกยืดและบางไปมากกว่าเดิม ด้วยการรองบริเวณดังกล่าวด้วยสิ่งอื่น
โดยสิ่งเป็น most recommend ในการรองปลายจมูกคือ ไขมันที่ก้นกบ ซึ่งมีความหนาและยืดหยุ่นได้ดี แต่ผมได้ยินบ่อยๆ คนไข้มักจะบอกว่าใช้กระดูกอ่อนก้นกบ มันไม่ใช่กระดูกอ่อนหรอกคับ มันเป็นไขมันนี่แหละครับ กับผังผืดต่างๆ มันมีปริมาณมากถึงขนาดที่สามารถนำมาเสริมที่สันจมูกได้เลยด้วยนะครับ
แคปซูล เนื่องจากปลายบางนั้น ย่อมมาจากการที่เป็นเคสแก้อย่างแน่นอน ในเคสแก้นั้น ซิลิโคนที่เราเคยใส่อยู่จะมีสิ่งที่เรียกว่า แคปซูลห่อหุ้มซิลิโคนอยู่ ซึ่งแคปซูลนี้เอง จะมีปริมาณที่ค่อนข้างมากและหนาพอสมควรซึ่งก็สามารถเอามารองปลายจมูกได้เช่นกัน อ่านเรื่องแก้จมูกได้ที่ => ทำไมการแก้จมูกถึงยากกว่าการเสริมใหม่
เนื้อเยื่อเทียม เป็นอีกนึงวิธีที่ช่วยรองปลายจมูกได้เช่นกัน สามารถอ่านเรื่องเนื้อเยื่อเทียมได้ที่ => ซิลิโคน เนื้อเยื่อเทียม กับการทำจมูก
กระดูกอ่อนต่างๆ หรือที่พูดถึงมากคือกระดูกอ่อนหลังหู ผมขอบอกแบบนี้ครับว่าการจะใช้กระดูกอ่อนหลังใบหูมารองปลายสำหรับเคสที่ปลายบาง ผมเป็นคนนึงที่ไม่แนะนำเลย เพราะกระดูกอ่อนที่หูนั้นขอบค่อนข้างจะแข็งและคม มีโอกาสที่จะทำให้บางเพิ่มได้ แต่กระดูกอ่อนควรนำมาใช้ในรูปแบบอื่น นั่นคือการนำมายืดกระดูกปลายจมูกนั่นเอง แต่ในบางกรณี ก็อาจจะมีคุณหมอพูดว่าใช้กระดูกอ่อนมารองปลายได้เช่นกัน แต่จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านของหู แต่เพื่อความเข้าใจง่าย เลยอาจจะบางคนไข้ว่าเป็นกระดูกอ่อนก็ได้เช่นกัน เนื้อเยื่อดังกล่าวนี้ก็สามารถนำมารองปลายได้เช่นกัน เพราะมีความหนา เหนียว และแข็งแรง สามารถอ่านเรื่องกระดูกอ่อนหูได้ที่ => กระดูกอ่อนหลังหูนำมาใช้ทำจมูกได้อย่างไร
สรุป
มีหลากหลายวิธีในการจะแก้ปัญหาปลายบางให้ดีขึ้นได้ การจะเลือกวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกับของแพทย์และผู้ได้รับการรักษา ซึ่งก็มีข้อดีและเสียที่แตกต่างๆ อาจจะไม่มีวิธีใดที่ดีสุด อาจจะต้องพิจารณาเป็น case by case ไป ผมอยากจะบอกว่าไม่มีคำว่า one size fits all หรือ free size ในทางการแพทย์ ทุกอย่างต้องดูเป็นรายๆไปครับ
Comments